ประวัติวัดใต้
วัดใต้ตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ ๑๖๐ บ้านใหญ่ หมู่ ๔ ตำบลเมืองคง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เป็นชุมชนเผ่าเยอได้เดินทางมาจากประเทศลาว ได้มาตั้งบ้านใหญ่และได้ก่อตั้งวัดใต้ขึ้น ในปีพ.ศ ไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นวัดที่ ๒ ของอำเภอราษีไศล รองจากวัดบ้านไผ่ ก่อสร้างมาหลายปีจนได้รับการแต่งตั้งให้ป็นวัดเมื่อปี พ.ศ ๒๓๘๐ ซึ่งในสมัยนั้นมี ยาเจ้าหลักคำ (คำว่า “ยาเจ้า’’เป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งใช้เรียกคนที่เป็นใหญ่ในหมู่บ้าน)เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก (เป็นเจ้าคณะอำเภอคง) ปัจจุบันอำเภอราษีไศล ยาเจ้าคูคำเป็นเจ้าอาวาส เป็นองค์ที่ ๒ ยาเจ้าคูคำได้สร้างอุโบสถขึ้นอยู่ทางทิศใต้ของพระธาตุ เพื่อใช้เป็นที่ทำสังฆกรรมในเขตอำเภอราษีไศลและได้สร้างอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้สร้างวิหารเป็นศาลาขนาดใหญ่เป็นยอด ๓ ชั้นทำด้วยไม้กะสลักลวดลายอย่างสวยงามหลังจากที่ยาเจ้าคูคำ มรณภาพแล้วก็มี หลวงพ่อนัน เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ เจ้าอาวาสองค์ที่ ๔ คือปลัดศรี ถาวโร ในช่วงที่พระอาจารย์ปลัดศรีเป็นเจ้าอาวาสนั้นยอดพระธาตุได้หักลงมาเนื่องจากวัสดุต่างๆทุดโทรมเสื่อมคุณภาพ พระอาจารย์ปลัดศรีจึงจึงได้รวมกลุ่มชาวบ้านเก็บพระเครื่องต่าง ๆที่ตกออกมาจากยอดพระธาตุ มารวมกันไว้ได้ ๒ ถาดใหญ่ และอีกจำนวนหนึ่งชาวบ้านเก็บไปบูชาที่บ้าน ส่วนยอดพระธาตุที่เป็นเศวตฉัตรทำจากเหล็กเก็บกองไว้ที่ฐานหระธาตุ ต่อจากนั้นได้มีพระสา รักษาการเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ และเจ้าอิการบุญมา (เจ้าคณะตำบลเมืองคงที่มรณะภาพไปแล้ว) เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ พระอธิการนารี กตปุญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๗ จำพรรษาจนถึงปี ๒๕๓๕ – ๒๕๔๓ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๘ ต่อมาท่านก็ออกจากเจ้าอาวาส กลับไปอยู่ที่วัดบ้านยางซึ่งเป็นบ้านเกิด เพราะชรา ลูกหลานอยากให้กลับไปอยู่บ้านจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด จากนั้นจึงได้นิมนตืพระสุมิน อานันโท หรือพระครูพิบูลธรรมาภิรัต มารักษาการเจ้าอาวาส ในปี ๒๕๔๓ และในปี ๒๕๔๔ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๙ สืบต่อมา จนถึงพ.ศ ๒๕๕๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูเจ้าอาวาสชั้นโท ที่พระครูพิบูลธรรมาภิรัติ ปัจจุบัน (๒๕๕๔)วัดใต้มีพระจำพรรษาอยู่ ๑๐ รูป สามเณร ๔ รูป
ปัจจุบัน
วัดใต้มีเนื้อที่ ๑๙ ไร่ ๓ งาน ๒๑ ตารางวา มีอุโบสถ ๒ หลังซึ่งป็นหลังเก่าหนึ่งหลังไม่ได้รื้อลงเก็บไว้เป็นของเก่า หลังใหม่กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ ๒๕๓๔ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๐ ผูกพัทธสีมาวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ ๒๕๔๑ มีกุฎิ ๙ หลัง เมรุ ๑ หลัง ศาลาบำเพ็ญกุศล ๑ หลัง และศาลาการเปรียญ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก โครงหลังคาเหล็ก หลังคามุงสังกะสีสะแกนรูป ติดฝ้าเพดาน ปูพื้นด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ แบบ ๒ ชั้นมีขนาดกว้าง ๒๔ เมตร ยาว ๔๖ เมตร เริ่มวางศิลาฤกษ์วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ ๒๕๔๕ สามารถบรรจุผู้มาใช้บริการได้ประมาณ ๑๕๐๐ คน งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (สิบสองล้านบาท) งบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป จากงานกฐิน ผ้าป่า ร่วมกันจองเป็นเจ้าภาพ
มีพื้นที่ใช้ประโยชน์อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งติดแม่น้ำมูลเป็นป่าช้าเก่าเรียกชื่อว่า ดอนแก้ว (เกาะแก้ว) ใช้ในการปฎิบัติธรรมในเดือนมกราคมวันที่ ๒๐-๓๐ ของทุกปีจะมีพระภิกษุสามเณร ญาติโยม มาร่วมปฎิบัติธรรมเป็นจำนวนหลายร้อยรูป/คน
สถานที่ตั้ง
วัดใต้ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๑๖๐ บ้านใหญ่ หมู่ ๔ ตำบลเมืองคง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอราษีไศล ห่างจากตัวอำเภอราษีไศล ๒ กิโลเมตร เนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ รวมป่าติดแม่น้ำมูล ในโฉนดที่ดิน มี ๑๙ ไร่ ๓ งาน ๒๑ ตารางวา
การเดินทาง
รถยนต์ ถนนสายราษีไศลยางชุมน้อย กิโลเมตรที่ ๒ เลี้ยวขวาเข้าวัด
รถไฟ ลงที่อำเภออุทุมพรพิสัย หรือ ศรีสะเกษ ต่อรถมาราษีไศล
วัดห่างจากตัวจังหวัดศรีสะเกษ ๓๘ กิโลเมตร
ห่างจากอำเภออุทุมพรพิสัย ๒๖ กิโลเมตร
ถังสังฆทานที่ร้านสังฆภัณฑ์
ถังสังฆทาน ที่ท่านถือ มาทำบุญ จิตเกื้อกูล ทูนถวาย แก่พระสงฆ์
ด้วยจิตที่ เลื่อมใส ใจจำนง ให้พระสงห์ ได้ใช้สอย พลอยได้บุญ
แม้ของน้อย จิตเลื่อมใส ได้บุญมา ผลวิบาก อานิสงส์ คงไม่สูญ
จิตใสแจ่ม หน้าแย้มยิ้ม อิ่มในบุญ ช่วยเกื้อกูล สู่สถาน อันพอใจ
แต่ขาดอย่างหนึ่ง คือกุศล ผลปัญญา ไม่พินิจ พิจารณา ควรค่าไหม
นึกลำพอง ได้ของดี มีด้านใน ดูมากมาย แต่ในนั้น มันนิดเดียว
เอามาตั้ง ขายหน้าร้าน ถังละร้อย สองสามร้อย แต่ในนั้น ราคาน้อย เพียงแค่เสี้ยว
ดูข้างนอก หลอกว่าใหญ่ ข้างในนิดเดียว นอกสดใส ในแห้งเหี่ยว เล็กเรียวลง
ถังสังฆทาน เกือบกลายป้น ถังขยะ ถวายพระ ได้อิ่มใจ เป็นอานิสงส์
พระก็รับ ไม่เอ่ยบอก บอกตรงตรง กลัวบุญโยม จะโทรมลง สงเคราะห์กัน
ถ้าไม่เชื่อ เมื่อซื้อมา ใช้ชำแหละ แกะดุดี จะได้รู้ ว่าข้างใน ไร้แก่นสาร
จะเห็นจริง งามแต่นอก หลอกทั้งนั้น ช่วยบอกต่อ ให้รู้กัน ทั่วทั้งเมือง
จะทำบุญ ไปซื้อมา ห่อเองได้ อย่ามักง่าย ไปซื้อเลย พวกถังเหลือง
บุญกุศล จะเต็มใจ ไม่สิ้นเปลือง จะรุ่งเรือง ทั้งโภคทรัพย์ นับปัญญา
แต่ขัดใจ คนขาย เป็นแน่ ๆ ที่เห็นแก่ รายได้ เงินใบหนา
อย่าลืมโทษ โกรธเคืองฉัน กันเลยหนา ให้ปรับปรุง ของควรค่า ราคาจริง
สมฺภเวสี ภิกฺขุ
บทเพลงกล่อมลูกของชาวอีสาน
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อ คำแพงแม่นี้เอย คำแพงแม่นี้เอ๋ย
พ่อไปไฮ่สิเอาไข่มาหา แม่ไปนาสิเอาปลามาป้อน
แม่เลี้ยงม้อนเข้าป่าสวนมอน เดิกออนซอนหมั่นลุกหมั่นตื่น
ลูกน้องไห้ง่มใต้กระบอง เสียงทอมทอมขี้เหงี่ยวใส่แม่
เลี้ยงลูกน้อยแม่นมันยากมันซา พออยากป๋าลูกผัวไปบวช
สร้างผนวชในศาสนา เจ้าใหญ่มาให้เจ้าไปไหว้
คั๋นเป็นชายให้เจ้าไปบวช ให้ยิ่งยวดในศีลในธรรม
ให้จำนำคุณพ่อคุณแม่ พอได้แก่ดึงขึ้นสวรรค์
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม คำแพงแม่นี้เอย คำแพงแม่นี้เอ๋ย
เตือนใจตนคนต้องตาย
ในโลกนี้มีใครไม่ตายบ้าง ตายเร็วบ้างช้าบ้างอย่างที่เห็น
บาปและบุญหนุนนำเป็นกรรมเวร มองให้เห็นความป็นจริงสิ่งได้มา
เมื่อไม่ตายท่านทั้งหลายอย่าประมาท อย่าได้พลาดในความดีที่ควรหา
ทั้งให้ทานรักษาศีลภาวนา ตายไม่ว่าถ้ามีธรรมค้ำจุนใจ
ในโลกนี้มีใครไม่ตายบ้าง ถึงรูปร่างจะสวยงามสักเพียงไหน
ยศสูงศักดิ์หรือมั่งมีกว่าใครใคร หนีไม่ได้ก้ต้องตายวายชีวัน
คิดถึงตายมันช่วยคลายไม่ให้ติด ชวนให้คิดถึงความจริงสิ่งที่เห็น
แม้แต่เราก็ต้องตายใจเย็นเย็น ฝึกให้เป็นตายก่อนตายสบายเอย.
อนงฺคโณภิกขุ อุทยานธรรมดงยาง
การเดินทางของชีวิต
คันสิเทียวทางเวิ้งให้หาฮ่มบังหัว คันสิไปทางไกลไถ่ถงให้มีพร้อม
คันสิไปทางหน้าให้หาทิงบั้งใหญ่ ใส่น้ำไว้เต็มบั้งจั่งค่อยไป
ทิงว่าไว้บั้งใหญ่คือโตเฮา วัฏฏะสงสารนั้นใหญ่ยาวคาวเยิ้น
กองบุญสร้างกุศลแฮคิดฮ่ำ ทางหน้าพุ้นผักยังกว้างกว่าหลัง
ศีลนั้นเป็นฮ่มกั้งคันอยู่ใหญ่บังหัว ทางนั้นเป็นเสเบียงใส่ถงให้มีพร้อม
ถึงสิไกลยาวเยิ้นภาวนาตักน้ำใส่ ไกลปานได๋กะบ่ย้านทิงบั้งได้ตื่มเต็ม พี่น้องเอ่ย
ภาษิตอีสาน
เตือนใจตนคนอยู่วัด
วัดนั้นหนามิใช่ว่าเป็นคอกหมู โปรดจงรู้ที่จะอยู่จงไร้ค่า
มิใช่กินแล้วก็นอนผ่อนกายา ให้รู้ว่าเราอาศัยใครเขากิน
วัดนั้นหนามิใช่ว่าเป็นโรงหนัง ที่จะพังที่จะดูอย่างโยมเขา
ทั้ง ทีวี กีฬา พามอมเมา เมื่อไหร่เล่าจะเห็นธรรมค้ำจุนใจ.
ข้าวทุกคำที่จะนำเข้าใส่ปาก แสนลำบากเขาทำนาในหน้าฝน
ทั้งไถ่นาหว่านปักดำทุกข์ก็ทน เราเป็นคนเขาให้มาว่าเพราะบุญ
ในตัวเรานั้นมีบุญอะไรบ้าง ที่เราสร้างตอบแทนข้าวน้ำเขา
มิใช่มีแต่ผ้าเหลืองก็หลงเมา หน้าที่เราปฏิบัติธรรมนำตอบแทน
อนงฺคโณภิกขุ อุทยานธรรมดงยาง
การมาวัดมาเพื่อขักเกลากิเลส
มิใช่มาแล้วเป็นเปรตหิวกระหาย
มาเพื่อสร้าคุณควมดีก่อนจะตาย
ไม่วุ่นวายริษยาอิจฉากัน
มาถึงวัดเรามาสร้างความอบอุ่น
มาเกื้อกูลเมตาธรรมนำสร้างสรรค์
จะเป็นใครมาจากไหนให้ช่วยกัน
สร้างสวรรค์บนพื้นดินถิ่นนี้เอย.
เตือนใจนิดถ้าคิดจะรัก
อยากจะมีคู่ชีวิตให้คิดหนัก คิดจะรักจงมองดุคู่อื่นเขา
ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจมิใช่เบา เพราะมัวเมารุ่มหลงในดงกาม
เมื่อความรักจากคลายเบื่อหน่ายแล้ว ความผันแปรกายมีให้เห็น
ที่อยู่ได้เพราะหน้าที่ด้วยจำเป็น มองให้เห็นความเป็นจริงสิ่งล่อลวง
อนงฺคโณภิกขุ อุทยานธรรมดงยาง
บวชดีที่สุด
ชีวิตพระอิสระไม่มีคู่ การเป็นอยู่ก็ง่าย ๆ อย่างที่เห็น
แต่มากล้นด้วยคุณค่าถ้าอยู่เป็น ไม่รำเค็ญเป็นขี้ข้าหาเลี้ยงใคร
อย่าสึกไปให้เขาด่าหนาท่านเอย ถึงไม่เคยอดทนไว้รอชาติหน้า
ในชาตินี้ถวายให้พระสัมมา หวังไว้ว่าพบมรรคผลพ้นทุกข์ เอย.
อนงฺคโณภิกขุ อุทยานธรรมดงยาง
คำวอนจากพ่อแม่
ลุกบ่โสดาด้วยด้วยสองเขือเลยนั่งเจ่า หันหน้าเข้าฝาแอ้มเช็ดน้ำตา
ภาวนาให้ผญากรรมมาดึงจ่องไปถ่อน เฒ่าแก่แล้วเขาบ่เลี้ยงก็อยากตาย
เขาบ่โสดาด้วยดอมคุณพ่อแม่ หัวหงอกแล้วเขายังใช้ให้เฮ็ดงาน
คือจั่งเฮ็ดรับจ้างพอให้อยู่ซามตาย หวังสิอาศัยแฮงเพิ่งพายามเฒ่า
ยามเมื่อสังขารส่วยแฮงงานก็ลดล่า ผัดแฮงทุกข์ซ้ำเฒ่าอยากตายถิ่มก่อนงาย เด้นอ...
เลี้ยงใหญ่แล้วหวังกินแฮงนำลูก ผัดมาดูถูกเฒ่าน้ำตาหย้อยหย่าวไหล
หัวอกพ่อแม่นั้นพอปานไฟสุมไฮ่ ยามเมื่อลูกดูหมิ่นฮ้ายสองเฒ่าอยากแต่ตาย
เสียแฮงเลี้ยงปูปลาซี้นต่อน ลูกเอ๋ย ความได๋ดีพ่อแม่เว้าอิ่นอ้อยออยเจ้าเข้าบ่อนนอน
บัดเจ้ามาจาต้านสังมาขมเครียดด่าพ่อแม่เด้ บัดเทื่อเว้าเกี้ยวซู้หวานอ้อยกะบ่ปาน
มันหากเหลือแฮงเฒ่าถนอมนมป้อนม่าม ตั้งแต่ยามหนุ่มน้อยเพียรเลี้ยงให้ใหญ่สูง
ทั้งพ่อแม่มาดมุ่งหวังเพิ่งยามชรา แพงปานกับหน่วยตาตั้งแต่ยามยังน้อย
จั่งได๋กลอยใจเลี้ยงถนอมนมป้อนม่าม พอแต่เลี้ยงใหญ่แล้วคุณเฒ่ากะเหล่าลืม ลูกเอย...
ภาษิตอีสาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น